ไม่มีใครคาดคิดจริงๆ ครับ สำหรับการอัปเกรด iOS ขึ้นสู่เวอร์ชั่น 8 ครั้งนี้ ตัวผู้เขียนเองยังรู้สึกว่า iOS 7 เพิ่งจะปล่อยให้อัปได้ไม่นาน หลังจากนั้นก็เป็นเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ที่ชื่อว่า iOS 7.1 รู้ตัวอีกที อยู่ดี ๆ CEO ทิม คุก ก็ประกาศชื่อ iOS 8 ขึ้นมากลางเวทีงาน WWDC 2014 ในเดือนที่ผ่านมา
แม้จะยังไม่ได้ปล่อยให้ลูกค้าทั่วไปได้อัปกันอย่างเป็นทางการ แต่ iOS 8 ก็มีหลายสิ่งที่น่าสนใจ เรียกเสียงฮือฮาได้มากมาย ใครที่เป็นนักพัฒนา[Developer] ก็อาจจะไปโหลดมาลองเล่นเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งเซียนมือถือที่ชอบอะไรใหม่ ๆ ก็อาจจะใช้ทริก ใช้เทคนิคในการไปหามาลงก่อนใครแล้วเช่นกัน
iOS 8 มีอะไรใหม่ ? และจะเปิดให้คนทั่วไปได้ใช้กันเมื่อใหร่ ? iPhone รุ่นใหนบ้างที่สามารถใช้งานได้ ? วันนี้ผู้เขียนขอรวบรวมทุกคำถามมาไขข้อข้องใจสำหรับคนที่อยากรู้และกำลังรอเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับสาวกแอปเปิล
มีอะไรใหม่ใน iOS 8 ?
เยอะครับ ทว่าความจริงแล้ว ตอนที่ iOS โดดจากเวอร์ชั่น 6 มาเป็น 7 เองก็มีการเพิ่มลูกเล่นเข้าไปไม่น้อยแล้วเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ใส่เข้ามาใน iOS 8 จึงเป็นการเพิ่มแบบจุดเล็ก ๆ น้อย หลาย ๆ จุดรวมกันมากกว่า โดยคำสั่งที่มีการอัปเกรดคุณสมบัติขึ้นมาหลัก ๆ ก็มี 9 จุดด้วยกัน ดังนี้
1. Photos : จากที่แสดงแค่ภาพถ่ายในตัวเครื่องต่อจากนี้ไปโกดังเก็บภาพของเราจะเป็นแบบออนไลน์ ซิงค์กับ iCloud ตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงสามารถดูภาพที่ถ่ายด้วย iPad จากบน iPhone หรือจากเครื่อง Mac ได้แบบเรียลไทม์นอกจากนี้ ทิม คุก ยังเพิ่มลูกเล่นการปรับสี ปรับแสง ใส่ฟิลเตอร์ให้มากมายหลากหลายกว่าเดิม โดยไม่ต้องพึ่งพา App เสริมตัวอื่นนอกจากคำสั่ง Photos ในเครื่องเท่านั้น
2. Notifications : การแจ้งเตือนแบบใหม่ที่ฉลาดกว่าเดิม จากแต่ก่อนที่เราทำได้เพียงลากแถบเตือนด้านบนลงมาดูว่าใครไลค์ Facebook หรือส่ง Line มาหา ทว่าจากนี้ไปเราสามารถตอบกลับจากหน้าต่าง Notifications ได้ทันที
3. Quick Type : คีย์บอร์ดตัวใหม่รองรับการทำนายคำศัพท์ที่แม่นยำกว่าเดิม แถม iOS 8 ยังล้ำขึ้นไปอีกขั้น เพราะมันรู้ด้วยว่าเรากำลังพิมพ์เรื่องอะไร จากนั้นคีย์บอร์ดจะเดาคำที่ไกล้เคียงสุด ๆ มาให้เอง อาทิเช่น ถ้าเราคุยเรื่องอาหารอยู่โอกาสที่ Quick Type จะเดาคำว่า Lunch หรือ Dinner ก็จะเพิ่มขึ้นครับ
4. iCloud Drive : บริการฝากข้อมูลบนฟ้าที่เรียกว่า Cloud มาแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยอานิสงส์ของอินเทอร์เน็ตที่ไวและเสถียรขึ้น ทางแอปเปิลจึงพัฒนา iCloud Drive ให้ฝากไฟล์ได้ทั้งไฟล์เอกสาร PDF รูปภาพและวิดีโอโดย iDevice ทุกเครื่องจะสามารถเข้าถึงไฟล์บนฟ้าพร้อม ๆ กันได้แบบเรียลไทม์ หากใครกดแก้ไขไฟล์เอกสาร ทุกคนก็จะเห็นไฟล์ที่อัปเดตใหม่พร้อมกันเลยครับ
5. Health : App หนึ่งเดียวอย่างเป็นทางการจากแอปเปิล ที่รวบรวมเอาข้อมูลเชิงสุขภาพของเจ้าของมาไว้ด้วยกันทั้งระดับน้ำตาลในในเลือด การเต้นของหัวใจ ค่าแคลอรี่ และคอเรสเตอรอล เพื่อเก็บเป็นสถิติในการดูแลตัวเองในอนาคตก็น่าจะทำงานร่วมกันกับนาฬิกาอัฉริยะ iWatch ได้ด้วย ?
6. Message : ไม่จำกัดแค่ข้อความตัวอักษร [Text] อีกต่อไป เพราะจากนี้เราจะสามารถส่งเสียงหรือคลิปวิดีโอสั้น ๆ ผ่านทาง iMessage ได้แล้วด้วย พร้อมการจัดกลุ่มทำให้ iMessage กลายเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมแชทสู้กับพวก Line หรือ WhatsApp ได้สบาย ๆ
7. Family Sharing : ครอบครัวคือส่งสำคัญสำหรับแอปเปิลเสมอ และในปีที่ผ่านมาทางแอปเปิล ก็ประสบปัญหาของลูกหลานของผู้ใช้งาน iPhone เผลอกดซื้อทั้งเกมส์ทั้ง App โดยไม่ได้ตั้งใจเยอะมาก แต่จากนี้ไป หมดห่วงครับ เพราะ iDevice ของทุกคนในครอบครัวในครอบครัวจะเชื่อมกันเป็นหนึ่ง เพื่อแชร์ข้อมูลการซื้อโปรแกรม แชร์ที่อยู่ [Location Service] แชร์รูปและตารางนัดหมายกันได้ง่าย ๆ สูงสุดถึง 6 คนด้วยกัน
8. Spotlight : การค้นหาข้อมูลทุกอย่างแบบอัฉริยะจากแต่ก่อนที่เน้นใช้เพื่อการค้นหาอีเมลและ App แต่จากนี้ไปคำสั่ง Spotlight จะใช้ค้นได้ทุกสรรพสิ่ง ทั้งข่าวสาร, แผนที่, Wikipedia, App Store แม้แต่หนังที่กำลังเข้าฉาย
9. iDevice Synchronization : ทิม คุก เลือกจะเปิดตัว iOS 8 ใหม่ในงานเดียวกันกับ OS X Yosemite บนเครื่อง Mac เพื่อโชว์ประสิทธิภาพให้เห็นว่า ยิ่งนับวันอุปกรณ์ตระกูล iDevice ก็ยิ่งทำงานสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียว อาทิ การรับโทรศัพท์จากบนเครื่อง MacBookในขณะที่มีสายเข้ามายัง iPhone ซึ่งใส่อยู่ในกระเป๋าถือใต้โต๊ะ หรือการเก็บไฟล์ดราฟ [Draft] ของอีเมลที่กำลังเขียนจากบนเครื่อง MacBook ลงมาไอโฟนด้วย เพื่อซิงค์ชิวิตของเราบนอุปกรณ์ iDevice หลาย ๆ ตัวให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
นอกจาก 9 สิ่งที่ว่ามาแล้วยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายสิบอย่างครับ ใน iOS 8 ตัวใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับอินเตอร์เฟสของอีเมลให้โต้ตอบกลับได้ง่ายกว่าเดิม และการเพิ่มบทสนทนาให้ Siri คุยกับเราได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น แล้วอุปกรณ์ iDevice ตัวใหนบ้างละ ที่พร้อมรับ iOS 8 ?
- iPhone 4S
- iPhone 5
- iPhone 5S
- iPhone 5C
- iPod Touch 5th Gen
- iPad Mini
- iPad Mini 2 [iPad Mini Retina Display]
- iPad 2
- iPad 4 [iPad Retina Display]
- iPad Air
และแน่นอนว่า iPhone 6 ที่กำลังจะเปิดตัวในปีนี้ก็จะมาพร้อมกับ iOS 8 เช่นกัน ทว่าต้องขอแสดงความเสียใจด้วยสำหรับใครที่ใข้ iPhone 4 อยู่ครับ เพราะพลังฮาร์ดแวร์ของเครื่องคงไม่สูงพอที่จะรัน iOS 8 แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเรื่องคีย์บอร์ดหรือการใส่คำสั่งด้านสุขภาพเข้ามา ทั้งหมดที่ว่าเป็นสิ่งที่มีมานานแล้วบนแอนดรอยด์ ทว่าทางฝั่งสาวกผลไม้ก็แย้งว่าทุกสิ่งที่แอนดรอยด์มีนั้น กระจัดกระจายมาก อย่าง App สายสุขภาพก็ต่างคนต่างทำ บางโปรแกรมก็ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งรวนและยังไม่น่าไวใจเพียงพอสำหรับการบันทึกข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ แต่ iOS 8 ที่ Apple เป็นผู้พัฒนาแบบเบ็ดเสร็จย่อมจะมีความเสถียรดีกว่ามีความปลอดภัยสูงกว่าแน่นอน เรียกว่า ให้ประสบการณ์การใช้งาน หรือ User experience ที่เหนือกว่านั่นเอง แต่จะมองไปในแง่ไหนก็แล้วแต่นะครับ อันนี้ไม่ว่ากัน
อาจไม่ได้พัฒนาเพิ่มเติมขึ้นมาแบบก้าวกระโดดครับสำหรับ iOS 8 แต่ครั้งนี้ ทิม คุก ดูจะเน้นการเสริมลูกเล่นที่เหมาะสำหรับอนาคตมากกว่า โดยเฉพาะการใช้งานด้านสุขภาพที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ล่าสุด ซึ่งผู้เขียนคาดเดาว่าเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับ iWatch ด้วย
ไม่แน่ใจครับว่าฤดูใบไม้ผลิปีนี้ Apple อาจจะเปิดตัวครบพร้อมกันทั้งหมดเลยทั้ง iWatch, iPhone 6, และ iOS 8 ตัวสมบูรณ์สำหรับผู้ใช้งานทุก ๆ คน
iDevice รุ่นไหนบ้างที่อัปเกรดได้ ?
ขึ้นชื่อว่า Apple ทั้งทีก็ต้องเปิดให้รุ่นก่อน ๆ อัปเกรดได้ด้วยแน่นอนและแม้แต่รุ่นเก่า ๆ อย่าง iPhone 4S เองก็ยังอัป iOS 8 ได้ ซึ่งรายชื่ออุปกรณ์ท้ังหมดได้แก่- iPhone 4S
- iPhone 5
- iPhone 5S
- iPhone 5C
- iPod Touch 5th Gen
- iPad Mini
- iPad Mini 2 [iPad Mini Retina Display]
- iPad 2
- iPad 4 [iPad Retina Display]
- iPad Air
และแน่นอนว่า iPhone 6 ที่กำลังจะเปิดตัวในปีนี้ก็จะมาพร้อมกับ iOS 8 เช่นกัน ทว่าต้องขอแสดงความเสียใจด้วยสำหรับใครที่ใข้ iPhone 4 อยู่ครับ เพราะพลังฮาร์ดแวร์ของเครื่องคงไม่สูงพอที่จะรัน iOS 8 แล้ว
iOS 8 สำหรับคนทั่วไปมา มาเมื่อใหร่ ?
This Fall หรือ ฤดูใบไม้ร่วง คือสิ่งที่ทาง Apple ตอบไว้ครับ ถ้าเทียบกับไทยเราแล้วละก็จะตรงกับเดือนกันยายนซึ่งหลายคนก็เก็งเอาไว้ว่า น่าจะเป็นช่วงเดียวกันกับที่ Apple เปิดตัว iPhone 6 นั่นเอง โดยการอัปเดตก็ง่าย ๆ ครับ สามารถทำได้ทั้งจากบน iDevice หรือจะเสียบสาย Lightning USB กับคอมพิวเตอร์แล้วอัปผ่านโปรแกรม iTunes ก็ได้เช่นกัน ถ้าใครได้ลงทะเบียนเป็นนักพัฒนา [Developer] ก็ลองไปดาวน์โหลดเวอร์ชั่นทดสอบ [Beta] ได้เลยปะทะวินโดวส์โฟน 8.1 และแอนดรอยด์ 4.4 ?
iOS 8 ยิ่งใหญ่มากสำหรับคอไอโฟนตัวจริง แต่ถ้าใครที่ใช้งานระบบปฏิบัติการคู่แข่งอย่างวินโดวส์โฟนหรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าใครเล่นแอนดรอยด์มานานละก็ อาจจะรู้สึกว่า iOS 8 ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกเสียจาก เหล้าเก่าในขวดใหม่ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเรื่องคีย์บอร์ดหรือการใส่คำสั่งด้านสุขภาพเข้ามา ทั้งหมดที่ว่าเป็นสิ่งที่มีมานานแล้วบนแอนดรอยด์ ทว่าทางฝั่งสาวกผลไม้ก็แย้งว่าทุกสิ่งที่แอนดรอยด์มีนั้น กระจัดกระจายมาก อย่าง App สายสุขภาพก็ต่างคนต่างทำ บางโปรแกรมก็ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งรวนและยังไม่น่าไวใจเพียงพอสำหรับการบันทึกข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ แต่ iOS 8 ที่ Apple เป็นผู้พัฒนาแบบเบ็ดเสร็จย่อมจะมีความเสถียรดีกว่ามีความปลอดภัยสูงกว่าแน่นอน เรียกว่า ให้ประสบการณ์การใช้งาน หรือ User experience ที่เหนือกว่านั่นเอง แต่จะมองไปในแง่ไหนก็แล้วแต่นะครับ อันนี้ไม่ว่ากัน
อาจไม่ได้พัฒนาเพิ่มเติมขึ้นมาแบบก้าวกระโดดครับสำหรับ iOS 8 แต่ครั้งนี้ ทิม คุก ดูจะเน้นการเสริมลูกเล่นที่เหมาะสำหรับอนาคตมากกว่า โดยเฉพาะการใช้งานด้านสุขภาพที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ล่าสุด ซึ่งผู้เขียนคาดเดาว่าเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับ iWatch ด้วย
ไม่แน่ใจครับว่าฤดูใบไม้ผลิปีนี้ Apple อาจจะเปิดตัวครบพร้อมกันทั้งหมดเลยทั้ง iWatch, iPhone 6, และ iOS 8 ตัวสมบูรณ์สำหรับผู้ใช้งานทุก ๆ คน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น