วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับ iPhone 6


          หลังจากที่เปิดขายอย่างเป็นทางการไปแล้วในหลายประเทศ ยกเว้นประเทศไทยที่ต้องรอต่อไปอีกหลายเดือน สำหรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่มีการอัพเกรดมากมายหลายอย่าง ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น และมีให้เลือกถึงสองขนาด ซึ่งก็เป็นไปตามกระแสของตลาดและความต้องการของผู้ใช้ ที่ต้องการใช้โทรศัพท์จอใหญ่ วันนี้ไอโฟนจัดมาให้ และจัดเต็มอีกต่างหาก เรามาดูว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus แตกต่างจาก iPhone 5S และ iPhone รุ่นก่อน ๆ อย่างไร

     Apple iPhone 6 และ iPhone 6 Plus : เมื่อความใหญ่คือความถูกต้อง

          การรอคอยสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในสหรัฐฯ พร้อมกับนาฬิกาอัจฉริยะชื่อ Apple Watch โดยดีไซน์และสเปกของ iPhone 6 ทั้งสองรุ่นแทบไม่ต่างจากภาพหลุด
          iPhone 6 มาพร้อมหน้าจอ 4.7 นิ้ว ในขณะที่ iPhone 6 Plus ขอเพิ่มขนาดเข้าไปอีก 5.5 นิ้ว โดยไม่ลืมอัพเกรดฮาร์ดแวร์ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู, ชิปกราฟิก, กล้อง, หน่วยความจำ และแบตเตอรี่ แต่ iPhone 6 จะสู้กับฝั่งแอนดรอยด์ที่จอใหญ่เต็มตลาดไปหมดไหวหรือไม่ ? และการกลับมาคราวนี้เป็นแค่ เหล้าเก่าในขวดใหม่ หรือว่าเหนือขึ้นไปอีกขั้นจริง ๆ ?

     จอใหญ่ในสองขนาด

          สุดท้ายก็มีวันนี้ ใครที่รอคอย “ไอโฟนจอใหญ่” มานานแสนนานก็คงสมใจกัน แถม iPhone 6 ยังมีหน้าจอให้เลือกถึงสองขนาด ทว่าจุดที่น่าสนใจคือความละเอียดจอ iPhone 6 ที่มาพร้อมจอ 4.7 นิ้ว เพิ่มความละเอียดเข้าไปอีกนิดเป็น 750 x 1334 พิกเซล จึงมีความหนาแน่นของพิกเซลที่ 326 PPI นับเป็นจอแบบ “เรติน่าดิสเพลย์” เหมือนกับ iPhone 5S จึงการันตรีได้แน่นอนเรื่องความสวยสดงดงาม
ส่วน iPhone 6 Plus ใช้จอความละเอียดใหม่แบบ “Retina HD” ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งก็ลงตัวพอดีกับขนาดจอ 5.5 นิ้ว ทำให้ความหนาแน่นของพิกเซลสูงถึง 401 PPI เรียกว่าเป็นสุดยอดแห่งไอโฟนทั้งคู่
          แม้ฝั่งแอนดรอยด์จะเพิ่มความละเอียดไปสูงกว่า Full HD ก็จริง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ทิม คุก มองว่า “ไม่จำเป็น” เพราะสายตามนุษย์เราไม่สามารถแยกแยะจอที่มีค่า PPI สูงเกิน 326 PPI ได้อยู่แล้ว สำหรับการใช้งานยังคงมั่นใจได้ว่า iPhone 6 4.7 นิ้ว มีขนาดเครื่องพอดีกับมือ จึงควบคุมมือเดียวได้ ส่วน iPhone 6 Plus จะมีโหมดพิเศษเพิ่มเข้ามา ช่วยย่อหน้าจอในบางคำสั่ง จึงยังคงใช้งานมือเดียวได้เช่นกัน
          หากใครชอบไอโฟน แต่ติดตรงที่ “จอเล็ก” ละก็ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus น่าจะตรงใจ เหลือแค่จะเอารุ่นไหนดีเท่านั้นเองละครับ

     ดีไซน์ใหม่หมด สุดบางเฉียบ



          แน่นอนครับว่า iPhone 6 ยังคงความเป็น “ไอโฟน” เอาไว้ทุกจุดและทุกรายละเอียด หน้าตาจึงสวยเฉียบแบบไร้รอยต่อ วัสดุที่ใช้สร้างเครื่องก็ยังคงผสมระหว่างโลหะและกระจกเข้าด้วยกัน ให้สัมผัสที่หรูหราเกินกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นใดจะให้ได้
          นอกจากนี้ ทิม คุก ยังลดความหนาของเครื่องลงจากสมัย iPhone 5S โดย iPhone 6 บางเพียง 6.9 มม. และ iPhone 6 Plus ก็ 7.1 มม, เท่านั้น เรียกว่าเป็นไอโฟนที่บางที่สุดในโลก
          ทว่าหากใครที่กังวลว่าความใหญ่จะมาพร้อมกับการใช้งานที่ยากละก็หายห่วงได้ เพราะ iPhone 6 ทั้งสองรุ่นได้ย้ายปุ่มเปิดปิดจากด้านบนมาไว้ด้านขวาเรียบร้อย เป็นดีไซน์ใหม่ที่ทำให้การควบคุมเครื่องมือเดียวยังคงสะดวกสบายไม่ต่างจากเดิม ปิดท้ายด้วยสีสันก็ยังคงมีให้เลือกซื้อทั้งเงิน, ดำ และทอง

     A8 + M8 + iOS8 : เพิ่มพลังทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์

          ไม่ใช่แค่จอใหญ่ขึ้นเท่านั้น ทว่า iPhone 6 ทั้งสองตัวยังคงได้รับการอัพเกรดภายใน ทั้งเชิงซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์ เหนือกว่า iPhone 5S ในทุกด้าน
          ในแง่สเปกทั้งสองรุ่นใช้ซีพียูแบบใหม่ชื่อ “A8” ที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ “64 Bit” ต่อเนื่องจาก A7 ในรุ่นก่อนหน้า ดังนั้นความเร็วของ iPhone 6 จึงสูงกว่าเดิมถึง 20% และยังคงประมวลผลกราฟิกได้ดีขึ้นอีก 50% ด้วย
          นอกจากนี้ iPhone 6 ยังมีโปรเซสเซอร์ตัวรองชื่อ “M8” สำหรับจับความเคลื่อนไหวใช้งานร่วมกับ App สายกีฬาหรือสุขภาพ พร้อมบารอมิเตอร์และไจโรสโคป ด้านระบบปฏิบัติการทั้งสองรุ่นก็มาบน “iOS8” เวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งรองรับการทำงานประสานกับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคได้ดีกว่าเดิม ลูกเล่นในกล้องมากกว่าเดิม และคำสั่งใหม่ ๆ อีกมากมาย
          แน่นอนว่าจอภาพที่ใหญ่ขึ้นย่อมจะให้ประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่า ทว่า iPhone 6 ทั้งสองไม่ได้มีแค่จอ แต่เพิ่มสมรรถนะภายในไปพร้อม ๆ กันแล้วแบบนี้จะไม่กินแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นหรือ ? ก็ต้องบอกว่าหายห่วงครับ เพราะเมื่อจอใหญ่ก็แปลว่าภายในย่อมจะมีพื้นที่สำหรับแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น iPhone 6 ทั้งสองรุ่นจึงใช้งานได้ยาวนานขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
          ไอโฟน 6 สามารถฟังเพลงต่อเนื่องได้นาน 50 ชั่วโมง, เล่นอินเตอร์เน็ตบน 4G ได้ 10 ชั่วโมงและเปิดสแตนด์บายได้ 10 วันเต็ม ส่วน iPhone 6 Plus เหนือกว่านั้นอีก คือ ฟังเพลงต่อเนื่องได้นาน 80 ชั่วโมง, เชื่อมต่อ 4G ยาว 12 ชั่วโมงและสแตนด์บายทิ้งไว้ได้ 16 วัน

     iSight : กล้อง 8 ล้านพิกเซลตัวใหม่พร้อมระบบ OIS

          แม้ว่ากล้องของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus จะไม่ได้เพิ่มความละเอียดขึ้นจากรุ่นก่อนที่ 8 ล้านพิกเซล แต่นักเล่นกล้องมือโปรฯ ก็รู้กันดีครับว่าเลขพิกเซลเยอะไม่ได้แปลว่าภาพจะสวย การที่ Apple ยังคงความละเอียดเดิมที่ 8 ล้านพิกเซลยิ่งหมายความว่า ทิม คุก มั่นใจในคุณภาพของกล้องของตนอย่างที่สุดต่างหาก ทว่าที่ความละเอียดเท่าเดิม จริง ๆ แล้ว Apple ได้ปรับแต่งคุณสมบัติภายในเพิ่มเข้าไปอีกหลายอย่าง อาทิ
          - ฮาร์ดแวร์ระดับ 1.5 ไมครอนพิกเซล ให้คุณภาพสูงสุด
          - รูรับแสง [Aperture] ที่ f 2.2 ควบคุมได้ทุกสภาพแสง
          - การอัดวิดีโอความละเอียด Full HD [1920 x 1080 พิกเซล] ที่ 60 fps
          - รองรับวิดีโอสโลโมชั่นที่ความละเอียด HD 240 เฟรมต่อวินาที
          - ไฟเฟลชแบบสองดวง โทนร้อนและเย็นเช่นเดียวกับรุ่นก่อน
          - การจับโฟกัสรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยขุมพลังที่เหนือกว่า
          - แบตเตอรี่ทนทานกว่าเก่า สามารถอัดวิดีโอและเก็บภาพนิ่งได้มากยิ่งขึ้น
          - ระบบจดจำใบหน้า [Face Detection] ที่ฉลาดขึ้น
          - มาพร้อมคุณสมบัติป้องกันการสั่นสะเทือน ช่วยให้ภาพคมชัด โดย iPhone 6 จะเป็นระบบกันสั่นแบบดิจิตอล [Digital Image Stabilization] และ iPhone 6 Plus จะสูงขึ้นไปอีกขั้นเป็นแบบออปติคัล [Optical Image Stabilization]
          เดิมทีกล้องของ iPhone 5S ก็ได้ชื่อว่า “ที่สุดของโลก” อยู่แล้วครับ ดังนั้นจึงมั่นใจได้แน่นอนว่ากล้องของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ต้องเหนือกว่าที่สุดขึ้นไปอีกระดับ



     Touch ID และ Apple Pay : กระเป๋าเงินในมือคุณ

          ถามว่าทำไม Apple จึงใส่วงแหวนสแกนนิ้วชื่อ “Touch ID” เข้ามาในไอโฟนรุ่นที่แล้ว ? คำตอบเริ่มชัดเจนมากขึ้น เมื่อ ทิม คุก ไปเจรจาธนาคารและบัตรเครดิตรายยักษ์อย่าง “VISA” และ “American Express”เพื่อผนึกเอาการจ่ายทำธุรกรรมบนมือถือเข้ามาในไอโฟนรุ่นใหม่ ๆ ในนามว่า  “Apple Pay” เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ระบุตัวตนของเราได้ดีกว่า “ลายนิ้วมือ”
          Touch ID จะทำงานร่วมกับคำสั่ง Passbook และ NFC ที่ซ่อนอยู่ในส่วนของฮาร์ดแวร์ จากนี้ไปเราสามารถซื้อเกมส์หรือ App ได้ด้วยการสแกนนิ้ว รวมทั้งการซื้อเบอร์เกอร์ในร้าน Mc และการสั่งกาแฟในสตาร์บัคส์ iPhone 6 จะเป็นมากกว่ามือถือ นั่นคือกระเป๋าสตางค์ที่ไม่ตุงไม่หนาไม่ต้องพกพาบัตรเยอะ ๆ ด้วยครับ

     สรุปผล Apple iPhone 6 และ iPhone 6 Plus 

          หากมองผ่าน ๆ อาจรู้สึกว่า iPhone 6 ทั้งสองตัวก็แค่จอใหญ่ขึ้น ทว่าจริง ๆ แล้วพวกมันไม่ได้รับการปรับปรุงแบบใหม่หมด ในระดับที่ไม่ใช้ “ไมเนอร์เชนจ์” เหมือนสมัย iPhone 5 ขึ้นมาเป็น iPhone 5S ครับ ไม่ว่าจะเป็นซีพียู, แบตเตอรี่, ดีไซน์ไปจนถึงการเชื่อมต่อ ทว่าจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดก็คือ “จอภาพ” ทั้งคนที่ใช้ไอโฟนรุ่นเก่า และอยากได้รุ่นใหม่จอใหญ่ ทั้งคนที่ใช้แอนดรอยด์จอใหญ่ อยากได้ iOS ที่เหนือกว่าทั้งความเสถียร, App + เกมส์ และวัสดุกับดีไซน์และทั้งคนที่ใช้มือถือจอเล็กรุ่นประหยัด ไม่ว่าค่ายใด ๆ ที่อยากจะกระโดดขึ้นมาใช้ไอโฟนจอยักษ์ใหญ่สุด ๆ แบบม้วนเดียวจบ ไม่ว่าใครก็เหมาะกับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ทั้งนั้น แต่ในอีกแง่หนึ่งทันทีที่ iPhone 6 เปิดตัว ราคาของ iPhone 5C และ iPhone 5S รุ่นเก่าก็ดิ่งลงหลายพันด้วย อย่าง iPhone 5C ก็เหลือแค่ 14,000 บาทและ iPhone 5S ก็ 19,000 บาท
          หากใครไม่ได้เน้นว่าต้องเป็นไอโฟนรุ่นใหญ่หรือรุ่นใหม่สุด ๆ รวมทั้งคนที่ไม่อยากจะรออีกสองถึงสามเดือนกว่าจะเข้าไทยละก็ การสอย “iPhone 5S” และ “iPhone 5C” ณ ตอนนี้อาจจะคุ้มค่ากว่าก็ได้

ที่มา : apple.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น